เมื่อกว่าเจ็ดทศวรรษก่อน สหรัฐและซาอุดีอาระเบียที่แม้มีจุดยืนแตกต่างด้านสิทธิมนุษยชนและความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอล กลับกลายเป็นพันธมิตรใกล้ชิดแบบต่างตอบแทน สหรัฐค้ำประกันความปลอดภัยให้ผู้ปกครองซาอุฯ แลกกับการได้เข้าถึงน้ำมันสำรองมหาศาล ข้อตกลงนี้ยืนหยัดผ่านความขัดแย้งเป็นช่วงๆ อย่างไรก็ตามพักหลังสัมพันธภาพอ่อนแอลง เมื่อสหรัฐไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันซาอุฯ อีกต่อไป และซาอุฯ เองก็ไว้ใจการคุ้มครองของสหรัฐน้อยลง ส่งผลให้ความขัดแย้งที่ครั้งหนึ่งอาจกลบเกลื่อนได้ ตอนนี้มีโอกาสแตกหัก
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรวบรวมความสัมพันธ์สหรัฐ-ซาอุดีอาระเบียที่ตึงเครียดเพราะน้ำมันและความไม่ไว้ใจกัน
ลักษณะความสัมพันธ์
“ตึงเครียด” ล่าสุดเรื่องราคาน้ำมัน ซาอุฯ ผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่สุดของโลกลดเพดานการผลิตทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วโลก วันที่ 2 เม.ย. องค์การประเทศส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (โอเปค) ประกาศลดกำลังการผลิตวันละกว่า 1 ล้านดอลลาร์อย่างไม่มีใครคาดคิด หลังจากเดือน ต.ค.เคยประกาศผลกำลังการผลิตครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 มาแล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ มองความเคลื่อนไหวนั้นว่าซาอุฯ ทรยศ พร้อมขู่ให้ระวังผลลัพธ์ที่ตามมา
กรุงเทพธุรกิจ :https://www.bangkokbiznews.com/world/1061509