“เวียดนาม” ประเทศ “น่าลงทุน” และมีศักยภาพการพัฒนาอันดับต้น ๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันนี้...กำลังเผชิญวิกฤตพลังงานไฟฟ้าขาดแคลนอย่างหนักมาตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และส่อแววยืดเยื้อไปจนถึงฤดูร้อนในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ถึงขั้นต้องประกาศเวียนดับไฟฟ้าทั่วประเทศเพื่อรับมือกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบางพื้นที่อาจต้องดับไฟฟ้านานกว่า 7 ชั่วโมง ทั้งที่ประเทศเวียดนามมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งในระบบมากถึง 80,704 เมกะวัตต์ ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 45,434 เมกะวัตต์ สะท้อนถึงปัญหาความมั่นคงระบบไฟฟ้าและคุณภาพไฟฟ้าของเวียดนามที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล
ถ่านหินขาดแคลน-ต้นทุนสูง
ค่าไฟฟ้าของเวียดนามถือเป็นจุดแข็งที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในวงกว้าง เหตุเพราะมีราคาค่อนข้างต่ำและไม่ได้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ามาจากเชื้อเพลิงถ่านหินถึง 32.32% รองลงมาคือโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อน 28.5% แต่การตรึงค่าไฟฟ้าแบบสุดโต่งของเวียดนามกำลังกลายเป็นจุดอ่อนของวิกฤตขาดแคลนไฟฟ้าครั้งนี้ สืบเนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมจากค่าเชื้อเพลิงถ่านหินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 3 – 4 เท่าตัว จากราคา 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 231 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 (อ้างอิงจากดัชนีราคาถ่านหิน NEX) แต่กลับไม่สามารถสะท้อนต้นทุนค่าเชื้อเพลิงถ่านหินที่เกิดขึ้นจริงผ่านค่าไฟฟ้าได้ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าถ่านหินบางแห่งตัดสินใจไม่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าส่วนหนึ่งหายไปจากระบบ แม้ปัจจุบันการไฟฟ้าแห่งเวียดนามจะประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเพิ่มอีก 3% หรือประมาณ 2.85 บาทต่อหน่วย แต่อาจยังไม่จูงใจผู้ผลิตไฟฟ้าให้กลับมาเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้นได้
ไทยโพสต์ :https://www.thaipost.net/hi-light/392968/